ในอดีต เวลาที่ตลาดหุ้นไทยตกต่ำ คนจำนวนหนึ่งมักมองเห็น “โอกาส” ท่ามกลางความกลัว เสียงบ่นว่า “ตลาดไม่มีอนาคต” หรือ “ใครจะลงทุนได้” กลับกลายเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักลงทุนสายสวนกระแส
แต่ในปี 2025 นี้ บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะคราวนี้…คนไม่ได้แค่กลัว แต่ “หมดศรัทธา”
1. เสื่อมถอยในระดับโครงสร้าง ไม่ใช่แค่ราคาร่วง
ปัญหาของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของราคาหุ้นที่ลง หรือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในระยะสั้น แต่คือความถดถอยของปัจจัยพื้นฐานในระดับโครงสร้างที่กัดกินความสามารถในการเติบโตระยะยาวอย่างต่อเนื่อง:
▪ สังคมสูงวัย
ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” (Aged Society) ไปแล้วอย่างเป็นทางการ ประชากรวัยทำงานกำลังหดตัว ขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปี นี่คือภาระที่ถ่วงการบริโภค แรงงาน และประสิทธิภาพในการแข่งขันในทุกอุตสาหกรรม
ผลที่ตามมาคือ:
การเติบโตของ GDP ระยะยาวชะลอลง
ความสามารถในการผลิตและบริโภคลดลง
บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จึงโตช้า แม้จะปรับองค์กรอย่างไรก็ยากจะชนะประชากรโครงสร้าง
▪ ขาดอุตสาหกรรมดาวรุ่ง ไม่มี story ให้เชื่อมั่น
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินเดีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์มี Narrative ที่ชัดเจน เช่น “โรงงานโลกใหม่”, “เทคสตาร์ทอัพเกิดใหม่”, หรือ “ประชากรวัยหนุ่มสาวผลักเศรษฐกิจ” — ไทยกลับไม่มีอะไรให้จับต้อง
ตลาดหุ้นจึงกลายเป็นเพียงกระดานของหุ้นเดิม ๆ กลุ่มเดิม ๆ ที่แทบไม่ขยับ แม้จะผ่านเวลาไปนานแค่ไหน
2. ตลาด IPO กลายเป็นเวที Exit มากกว่าสร้างคุณค่า
การระดมทุนในตลาดหุ้น (IPO) ควรเป็นกระบวนการที่ช่วยบริษัทเติบโต ขยายกิจการ และดึงดูดนักลงทุนให้มีส่วนร่วมในความสำเร็จระยะยาว
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยกลับถูกใช้ในทางตรงกันข้าม — เป็นเวทีให้ผู้ก่อตั้ง (founder) และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ “Exit” ออกไปจากบริษัทในราคาดี ผ่านราคาจองที่สูงเกินความเป็นจริง
ผลกระทบคือ:
IPO บางตัวราคาเปิดดี แต่ไม่กี่วันก็ร่วง และไม่ฟื้น
นักลงทุนรายย่อยกลายเป็น “คนมาถือของต่อ” มากกว่าผู้ร่วมเติบโต
ความเชื่อมั่นในตลาดทุนระยะยาวลดลงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งนี้ส่งผลลบต่อ ecosystem ทั้งระบบ เพราะหากตลาดไม่ได้สร้างทุนเพื่ออนาคต แต่แค่ให้เจ้าของเก่าถอนทุน ระบบก็จะไร้พลังขับเคลื่อน
3. ปัญหา Governance: ความเชื่อมั่นที่หายไป
หนึ่งในสัญญาณอันตรายของตลาดทุนไทยคือการที่ “หน่วยงานกำกับดูแล” ถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ
▪ Zipmex: กรณีศึกษาแห่งความเงียบ
แพลตฟอร์มคริปโตชื่อดังที่ระดมทุนจากนักลงทุนจำนวนมาก ก่อนปิดกิจการและค้างเงินลูกค้าเป็นจำนวนมาก
จนถึงวันนี้…ยังไม่มีความชัดเจนในการชดใช้ หรือบทสรุปจากหน่วยงานกำกับ
▪ หุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระ: ไม่มีใครรับผิด
นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขาดทุนจากการถือหุ้นกู้บริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้ แต่ระบบกลับไม่มีแนวทางป้องกันล่วงหน้า หรือแผนรองรับหลังเกิดเหตุการณ์
ทั้งหมดนี้สร้างภาพจำใหม่ในหมู่นักลงทุน:
“อยู่ในระบบก็ไม่ได้ปลอดภัย”
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Smart Money — ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ — เริ่มมองหาที่ไปใหม่
4. การเมืองไม่แน่นอน ปัจจัยภายนอกไม่เป็นใจ
แม้เศรษฐกิจไทยจะมีพื้นฐานที่หลากหลาย แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ฉุดการฟื้นตัวของตลาดทุน
รัฐบาลขาดเสถียรภาพและแนวทางการบริหารที่ต่อเนื่อง
นักลงทุนต่างชาติลังเลในการถือครองสินทรัพย์ระยะยาว
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตึกถล่ม หรือการปราบปรามทุนสีเทา ยังสะท้อนถึง “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่แก้ไม่ได้จริง
นอกจากนี้ โลกภายนอกก็ไม่ได้ช่วยนัก:
เงินทุนทั่วโลกกำลังไหลไปยัง “ตลาดนวัตกรรม” เช่น เทคโนโลยี AI, พลังงานสะอาด, และตลาดเกิดใหม่ที่มีเรื่องเล่าชัดเจน
หุ้นไทยจึงไม่มีทั้ง “ธีม” และ “ความตื่นเต้น” ในสายตานักลงทุนสากล
5. วันนี้ หุ้นไทยถูก…แต่นักลงทุนยังไม่อยากเข้า
หลายคนอาจมองว่า ตลาดไทยวันนี้น่าสนใจเพราะ “ราคาถูก” — แต่ความจริงคือ ราคาที่ถูก ไม่ได้หมายถึง “ดี”
ราคาที่ต่ำ อาจสะท้อนความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่แก้ไม่ได้ และขาดความหวังในระยะยาว
ในขณะที่ประเทศอื่นมี “Upside ที่จับต้องได้”
ตลาดหุ้นไทยกลับไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ “เริ่มต้นใหม่”
ถ้าตลาดนี้ยังไม่เปลี่ยน โอกาสจะยิ่งไหลออก
ตลาดหุ้นคือกระจกสะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอนาคต ถ้าไม่มีแรงหนุนจากเศรษฐกิจจริง ไม่มีเรื่องเล่าใหม่ ๆ ไม่มีความน่าเชื่อถือจากระบบ
สุดท้าย…ก็ไม่มีใครอยากอยู่
ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ไม่ใช่แค่ “ราคาตก”
แต่คือ “ความศรัทธาที่หายไป”
และในโลกที่นักลงทุนมีทางเลือกนับไม่ถ้วน
สิ่งที่เราต้องถามตัวเองไม่ใช่แค่ว่า “หุ้นไทยถูกหรือยัง?”
แต่ต้องถามว่า...
“ตลาดนี้ยังน่าลงทุนอยู่ไหม?”